พระระดับนี้ไม่ต้องใช้ผ้ารองกราบ



วันนี้ก็เป็นวันที่สองแล้ว หลังจากที่พึ่งเสร็จสิ้น พระราชพิธีพระราชทานเพลิงสรีระสังขารของ "องค์หลวงตามหาบัว" คิดแล้วฉันก็รู้สึกนึกถึง องค์หลวงตา เหมือนกัน คงมีแต่คุณงามความดี เท่านั้นแหล่ะที่ให้เอาไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และเตือนตัวเอง ให้ยึดหลักตามคำสั่งสอนขององค์หลวงตา.. วันนี้ฉันขอลงรายละเอียดบทความ 1 แล้วกันนะคะ ลองอ่านดูเผื่อว่าจะมีแง่คิดดีๆ ไว้ให้กับตัวเอง...
"พระเจ้าอยู่หัวเราท่านเป็นพรหม ฉะนั้นหากพระองค์ไหนที่ท่านไปกราบด้วยความประสงค์ของท่านเอง นั่นแหละพระดีให้รีบไปกราบ" นี้คืออีกหนึ่งคำพูดของอาจารย์เบิ้ม ที่ผมคิดว่าจริงเสียยิ่งกว่าจริง แต่ปัญหาอยู่ที่เราจะรู้ได้ยังไงว่าองค์ใหน พระองค์ประสงค์ไปกราบเอง องค์ไหนที่โดนจัดในรายการที่แน่ๆว่าเป็นความประสงค์ของพระองค์คือ หลวงปู่เกษม หลวงปู่เทศก์ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงพ่อแบน ท่านเหล่านี้ไม่ต้องสงสัยสำหรับหลวงตามหาบัว พระเจ้าอยู่หัวท่านเสด็จไปกราบจริง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2522 ด้วยซ้ำและปี พ.ศ.2531 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้เสด็จไปนิมนต์หลวงตาไปในงานในวัง และปีพ.ศ.2541 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้เสด็จไปเยี่ยมหลวงตาหลังประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ รายการแรก พ.ศ.2522 มีบันทึกไว้ว่า ในตอนเช้าของวันที่ ๑๐ พ.ย. ๒๕๒๒ หลวงตาได้สั่งกำชับพระเณรในวัดว่า "วันนี้จะมีบุคคลสำคัญเข้ามา พวกท่านทั้งหลายจงพากันทำความสะอาดวัดวาอาวาสให้เรียบร้อย อย่าให้บกพร่อง" พระทั้งหลายเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ไม่ได้เอะใจอะไร ต่างก็ทำข้อวัตรปฏิบัติไปตามปกติ ในบ่ายวันนั้นเอง ชาวนาคนหนึ่งเดินสะพายแห เพื่ออกไปหาปลาเป็นอาหาร มีรถยนต์คันงามวิ่งบึ่งมาจอดเทียบแล้วเรียกถามด้วยเสียงอันนุ่มนวลว่า "ลุงๆ ทางที่จะไปวัดหลวงตาบัวไปทางไหน"  "ไปทางนี้ เด้อ"  เขากล่าวห้วนๆ แบบภาษาชาวบ้าน พร้อมทั้งชี้มือและแหงนหน้าดูคนที่ถามไถ่ เมื่อเขามองดูใบหน้าบุคคลที่ถามทางอย่างเพ่งพิศพินิจพิจารณา ภาพแห่งบุคคลผู้ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าในสมองเริ่มปรากฏ เข่าเริ่มอ่อนและนั่งลงกับพื้น พนมมือขึ้นเหนือเศียรเกล้า กล่าวข้อความด้วยความปลาบปลื้มใจเป็นล้นพ้น "โอ ในหลวง สาธุเด้อ ในหลวง สาธุ สาธุ" หลังจากนั้นพระองค์ท่านจึงเสด็จไปยังวัดป่าบ้านตาดเพื่อกราบนมัสการองค์หลวงตา เมื่อถามไถ่สนทนากันทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์จากพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์เป็นการส่วนพระองค์ ไม่ได้บอกแม้กระทั่งทหารใกล้ชิด ทหารทั้งหลายต่างสืบข่าวกันโกลาหลว่า เมื่อเวลาบ่ายโมงพระองค์ท่านทรงขับรถออกจากพระตำหนัก ไม่รู้ว่าเสด็จไปที่ใด ถ้าบอกข่าวการเสด็จมาล่วงหน้า กลัวเป็นการเอิกเกริกรบกวน ต้องการเสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์ หลวงตาจึงให้โอวาทว่า "มหาบพิตร! พระองค์เป็นถึงพระเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้าชีวิตของชนทั้งชาติ หากพระองค์เสด็จ มาโดยลำพัง มีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น จะเป็นความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวง ถ้าพระองค์เป็นอะไรขึ้นมา คนทั้งชาติจะไม่เหยียบหลวงตาบัวมิดแผ่นดินหรือ?"  "กลัวจะเป็นการรบกวนองค์หลวงตา" พระองค์กล่าวพร้อมพนมพระหัตถ์  "รบกวน ไม่รบกวนจะเป็นอะไร แผ่นดินนี้เป็นของพระองค์ พระองค์พึงมาได้ทุกเมื่อ"
ที่องค์หลวงตาเป็นห่วงมากเช่นนั้นเนื่องจากสมัยนั้นคอมมิวนิสต์มีอยู่ทั่วไป หลังจากนั้นอีกไม่นานเสียงรถทหารตำรวจที่สืบทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ
มาวัดป่าบ้านตาด จึงติดตามมาอารักขาเป็นทิวแถว ชาวบ้านบางคนไม่รู้เรื่อง เห็นรถทหารตำรวจเป็นทางยาว บางคนวิ่งหนีเข้าบ้าน นึกว่าเกิดสงคราม ต่อไปเป็นเรื่องราวที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จมานิมนต์หลวงตาเมื่อพ.ศ.2531
บทสนทนาจอมปราชญ์

เนื่องในวโรกาสมหามิ่งมงคลของชาวไทยทั้งชาตินิตยสารน่านฟ้าขออาราธนาบทสนทนาที่เหนือ
คำบรรยายที่เล่าโดย พระอาจารย์ภูสิต (จันทร์) ขันติธโร เจ้าหน้าวาสวัดป่าหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน ในสมัยที่ท่านเป็นพระอุปัฏฐากองค์หลวงตา ณ วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานีในขณะนั้น...
"...เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดคือเมื่อปี พ.ศ.2531 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้เสด็จไปนิมนต์หลวงตาไปในงานในวัง ปกติหลวงตาท่านไม่ค่อยไปไหนแต่ตอนที่พระเจ้าอยู่หัวฯ ไปนิมนต์ ท่านไปนิมนต์ด้วยพระองค์เอง เรายังจำได้..วันนั้นเป็นวันที่ 7 มกราคม 2531 เป็นปีเฉลิมราชรัชมังคลาภิเษกที่ทรงครองราชย์มากกว่ากษัตริย์ใดในประวัติศาสตร์ไทย ท่านนิมนต์หลวงตาเข้าวัง มาเป็นขบวนใหญ่ หลวงตาท่านจะอยู่ที่กุฏิท่านให้เราควบคุมดูแลญาติโยม ดูแลพวกทหารที่มา พระเจ้าอยู่หัวฯ จะเสด็จมาตอน 6 โมงเย็น เมื่อขบวนพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จมาถึงเรายืนตรงนี้ ผู้ว่าฯ สายสิทธิ์ยืนตรงนี้ หมออวย แล้วใครต่อใครยืนเป็นแถวรอรับเสด็จแล้วท่านก็ขึ้นไปข้างบนซึ่งหลวงตารอท่านอยู่แล้ว ส่วนเราก็อยู่ตรงบันไดส่วนหลวงตาอยู่ข้างบน ที่ขึ้นไปก็มีพระบรมวงศานุวงศ์ตามเสด็จครบหมดเลย พระราชินีพระบรมฯ พระเทพฯ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯหมดทั้งครอบครัวเพื่อจะนิมนต์หลวงตาไปงานพิธีในวัง  พอพระองค์ท่านกราบหลวงตาเสร็จ ท่านก็ถวายคำถามแรก (พระเจ้าอยู่หัวเรียก หลวงตาว่า "หลวงปู่" )
"หลวงปู่... สาวกภูมิกับพุทธภูมิต่างกันอย่างไร" โอ้...พระเจ้าอยู่หัวถามปัญหาหลวงตาขนาดนี้ หลวงตาตอบว่า..."พุทธภูมิ ก็เหมือน ดั่งเรานั่งรถไฟนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ หรือนั่งรถไฟไปอุดรนั่นแหละพุทธภูมิแต่ถ้าเรา นั่งจักรยานมาหรือนั่งมอเตอร์ไซค์ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปนั่นแหละ... สาวกภูมิเพราะฉะนั้นการเป็นพุทธภูมิก็คือการนำคนไปได้เยอะ ๆ  ส่วนสาวกภูมินั้นนำไปได้น้อยๆไม่ได้มากนัก อย่างเก่งก็ 1 คน หรือ 3-4 คน ก็ว่ากันไป นั่นคือสาวกภูมิเข้าใจไหมล่ะพ่อหลวง" พระเจ้าอยู่หัวฯ ตอบหลวงตาว่า "เข้าใจแล้วหลวงปู่ แล้วนิพพานเป็นอย่างไรนะหลวงปู่"  หลวงตาตอบ : "อ้อ พ่อหลวงเหมือนพ่อหลวงมาวัดป่าบ้านตาดนี่แหละรู้ไหมว่าวัดป่าบ้านตาดอยู่ตรงไหน อยู่บนกุฏินี่เหรอ วัดป่าบ้านตาดอยู่ไหนล่ะแต่พอพระมหากษัตริย์มาถึงนี่แล้ว บริเวณนี้ทั้งหมดคือวัดป่าบ้านตาดนี้แหละแต่จะชี้ลงไปว่าที่กุฏิอาตมาก็ไม่ใช่ ที่กุฏิพระก็ไม่ใช่ ที่ศาลาก็ไม่ใช่ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดในกำแพงวัดนี้นี่แหละคือวัดป่าบ้านตาด นี่แหละพระนิพพานก็มีความหมายแบบเดียวกัน"  และเมื่อพระเจ้าอยู่หัวฯ ขอบารมีหลวงตาช่วยต่ออายุให้แม่หลวง (คือสมเด็จย่า)ตอนนั้นสมเด็จย่าทรงประชวรอยู่ หลวงตาท่านก็ตอบปฏิเสธเลยว่า..."พ่อหลวงนั่นแหละก็จัดการเองได้ขอเองได้" ท่านว่างั้นนะ..."พ่อหลวงก็สามารถจัดการได้เอง"ท่านบอกไปเลยนะว่า...ให้พระเจ้าอยู่หัวขอเอง จัดการเองจัดการเองอาตมาต่อให้ไม่ได้หรอก พระเจ้าอยู่หัวฯ ได้กราบลาว่า "เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว จะกลับแล้วท่านหลวงปู่มีอะไรจะบอกไหม"  หลวงตาท่านได้เทศน์สั้น ๆ ว่า"การเป็นพุทธภูมิสร้างบารมีเพื่อความเป็นพุทธะ พอจบพุทธภูมิได้ก็เป็นพระพุทธเจ้าแล้วพระพุทธเจ้าก็มีพุทธกิจ 5 คือ ตอนเช้าบิณฑบาต ตอนบ่ายสอนคหบดีมนุษย์ทั่วไปตกเย็นสอนนักบวช สมณะชีพราหมณ์ ตอนกลางคืนแก้ปัญหาเทวดาพอมาตอนเช้ามืดเล็งญาณดูสัตว์โลก สัตว์โลกตัวไหนมีกิเลสเบาบางพอที่จะบรรลุธรรมได้ท่านก็จะเล็งญาณดูรีบไปโปรดก่อน พระพุทธเจ้าสร้างบารมีพุทธภูมิจนได้เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็มีพระพุทธกิจ 5 อย่างนี้ แต่...ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของประเทศไทยปรารถนาอะไรทำงานกันจนไม่มีเวลาจะพักผ่อน..เอาล่ะ ๆ ...อาตมาจะให้พร"
พอฟังมาถึงตรงนี้นะเรายังจำได้แม่น เพราะพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านถามเรื่องพุทธภูมิเสร็จแล้วพอท่านจะลากลับ หลวงตาท่านสรุปให้เสร็จสรรพเลย... ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของไทยทำงานปรารถนาความเป็นอะไร... ทำงานกันจนไม่มีเวลาพักผ่อน... เอาล่ะ ๆ ...อาตมาจะให้พร เมื่อพระเจ้าอยู่หัวท่านเสด็จลงมา ท่านก็ตรัสว่าอยากให้ท่านอาจารย์อยู่กับหลวงตาไปนาน ๆ ...เราก็ได้ตอบท่านว่า เจริญพร...มหาบพิตร อาตมาก็อยากจะอยู่แต่ถ้าถึงเวลาที่อาตมาจะต้องเอาตัวเองให้รอด อาตมาก็ขอเอาตัวเองให้รอดก่อนเพราะทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล
ถึงเวลาไปก็ต้องไปเหมือนกันแล้วพระเจ้าอยู่หัวฯก็บอกขอทำบุญกับหลวงตา 200,000 ถวายอาจารย์ 20,000 แล้วท่านก็ถามว่าพระที่อยู่ในวัดนี้กี่รูป  เราก็ตอบท่านทั้งหมด 29 รูปรวมหลวงตานั่นแหละ...ท่านจึงถวายให้รูปล่ะ 2,000  "แล้วปัจจัยจะให้ไว้กับใคร"ท่านถาม...ท่านหยิบออกมาให้เลยนะ  ท่านผู้ว่าฯ ยังรับมือสั่น
พระเจ้าอยู่หัวไม่เพียงมากราบหลวงตาท่านมาที่วัด ท่านยังมาทำบุญกับพระด้วยปัจจัยที่เตรียมพร้อม จากพระหัตถ์ของท่านเองจากนั้นพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็เสด็จออกไปเยี่ยมประชาชนแล้วก็ขึ้นรถไป  นั่นแหละเราได้ฟังมา เรื่องของพุทธภูมิ เรื่องของพระโพธิสัตว์สาวกภูมิกับพุทธภูมิต่างกันอย่างไร เสร็จแล้วพอตอนจบขอพร หลวงตาท่านก็สรุปและให้พรจึงบอกได้ว่าเป็นบทสนทนาของจอมปราชญ์  และอีกครั้งวันที่ 23 เมษายน 2541  พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ ท่านเสด็จไปเยี่ยมหลวงตา หลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีคนวงในบอกว่าพระเจ้าอยู่ตอนกราบหลวงตาท่านให้เอาผ้ารองกราบออก พร้อมทั้งพูดว่า พระระดับนี้ไม่ต้องใช้ผ้ารองกราบ และนอกจากคำพูดที่หลายคนบอกเลื่อนลอยวันนี้มีหลักฐาน
ถ้าดูจากภาพจะเห็นได้ว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านกราบลงไปบนพรม แต่สมเด็จฯกราบลงไปที่ผ้ารองกราบ
ถึงตรงนี้คงไม่ต้องบรรยายอะไรเพิ่ม จึงขอจบเพียงเท่านี้
หมายเหตุ: เวลาเจ้านาย (เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง) ท่านไปกราบพระจะต้องมีผ้ารองสำหรับกราบ เพราะไม่ต้องการให้ไปกราบบนพื้นตรงๆ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

You can replace this text by going to "Layout" and then "Page Elements" section. Edit " About "