สุดมือคว้า...ก็ปล่อยไป...



การเริ่มต้นชีวิตครอบครัวใหม่ ดูเหมือนจะมีความสุขดี แต่ว่าความสุขที่ว่านั้น มันก็เป็นได้แค่ความสุขชั่วครั้ง ชั่วคราวเท่านั้น แต่อย่างน้อยฉันก็ยังได้เรียนรู้ในชีวิตที่ว่า ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดชีวิต ทุกอย่างล้วนรอจากเราไปทั้งนั้น ฉันเชื่อว่าถ้าชีวิตคนเราไม่ยึดติด ไม่ต้องแขวนชีวิตให้กับความคาดหวังมากจนเกินไป เวลาที่เราสูญเสีย พลัดพราก หรือเวลาที่เราต้องเจอกับความล้มเหลว เราคงมีภูมิต้านทานมากพอที่จะเอาไว้ต่อสู้กับความสิ้นหวัง ท้อแท้ หมดกำลังใจ อย่าคิดว่าสูญเสียแล้ว ชีวิตเรานั้นจะไม่เหลืออะไร เพราะว่าเราสามารถที่จะเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้งเสมอ หากเราไม่ยอมแพ้ซะอย่าง ไม่มีอะไรในโลกใบนี้ที่น่ากลัว และไม่จำเป็นต้องกลัวกับความเป็นจริงของชีวิต... และวันนี้ฉันก็เข้าใจอะไร ๆ ได้หลาย ๆ อย่าง เมื่อแม่ไม่มีความสุขที่จะใช้ชีวิตอยู่กับพวกเรา และเลือกที่จะเลือกทางเดินให้กับตัวเอง ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะฉุดรั้งแม่เอาไว้ แต่การจากไปของแม่ครั้งนี้(อีกครั้ง) ความรู้สึกของฉันมันช่างแตกต่างจากครั้งก่อนมาก อาจเป็นเพราะว่าฉันโตขึ้นและเรียนรู้ที่จะเข้าใจอะไรๆ ได้ดีในชีวิต “สุดมือคว้า..ก็ปล่อยไปเถอะคะ”

คนเราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่อาจเปลี่ยนอนาคตได้

เมื่อการก้าวกลับมาของแม่ครั้งนี้ ครอบครัวของเรากลับมา เป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง พวกเราพร้อมที่จะเปิดใจต้อนรับและให้อภัย “แม่” ได้หมดทุกอย่าง (พ่อบอกว่าไม่มีสิ่งใดยิ่งใหญ่กว่าการ “ให้อภัย” ) และฉันก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆ พวกเราสัญญาจะไม่พูดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาอีกต่อไป และจะขอเริ่มต้นชีวิตครอบครัวใหม่อีกครั้ง... จริงๆ แล้วเป็นเพราะพวกเราทนสงสารพ่อไม่ไหว ที่ต้องทนเห็นพ่อเก็บความรู้สึกเอาไว้เพียงคนเดียว แม้ว่าพ่อจะเก็บความรู้สึกไว้ได้ดีแค่ไหนก็เถอะ แต่ฉันก็ดูออกว่า พ่อรู้สึกยังไง พวกเราต่างก็รู้ดีว่า พ่อไม่เคยที่จะลืมแม่ได้เลย พ่อยังคงรักและซื่อสัตย์กับแม่มาโดยตลอด ทั้ง ๆ ที่มีผู้หญิงแวะเวียนผ่านเข้ามาในชีวิตหลายต่อหลายคนแต่ดูพ่อไม่ยักจะสนใจใครสักคน(หารู้ไม่ว่าโดนลูกๆ คอยกีดกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า )  เพราะพ่อกลัวว่าผู้หญิงเหล่านั้น เขาจะไม่รักลูกของพ่อ และรังแกลูก แต่แท้จริงแล้วคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงข้ออ้างส่วนหนึ่งเท่านั้น “พ่อยังคงรักแม่"  และยังรอการกลับมาของแม่ต่างหากล่ะ

แล้วคุณล่ะเลือกที่จะจมอยู่กับอดีต หรือ เลือกที่จะอยู่กับอนาคตกันล่ะคะ??

มองโลกในแง่ดี..คำสอนจากพ่อ

               ในวันนี้ ฉันกลับมาคิดทบทวนเรื่องราวครั้งนั้นอีกครั้ง มันทำให้ฉันรู้สึกผิดกับแม่เป็นอย่างมาก ฉันเสียใจที่พูดออกไปโดยไม่ทันได้คิด ว่าท่านจะรู้สึกยังไง แต่ ณ เวลาตอนนั้น ความรู้สึกของเด็กที่ถูกทอดทิ้งคนหนึ่ง ต้องทนอยู่กับความเหงา หว้าเหว่  ขาดความรัก ความอบอุ่น จากแม่มาโดยตลอด มันทำให้ฉันคิดแค่เพียงว่า อยู่ได้ตัวของฉันเองโดยไม่มีแม่ และฉันก็เกลียดแม่มากที่สุด เกลียดแม่ที่ทิ้งพ่อและพวกเราไป ไม่มีใครเข้าใจฉันหรอกว่าความรู้สึกของฉันในวันนั้น มันเจ็บปวดเพียงใด ถึงฉันจะเป็นแบบนี้ก็เถอะ แต่พ่อก็ไม่เคยสอนให้ฉันเป็นลูกอกตัญญูหรือเสี้ยมสอนให้ฉันเกลียดแม่เลยสักครั้ง พ่อสอนให้ฉันมองโลกในแง่ดี คิดดี ทำดี และเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศคติตนเองต่อการมองโลก และมันก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่ลูกจะเก็บความทุกข์เอาไว้ในใจและปิดกั้นใจตัวเอง ลูกลองเปิดใจให้กว้าง แล้วหัดมองโลกในแง่ดีบ้าง แล้วสิ่งดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นกับตัวลูกเอง...  
ถ้าไม่มีแม่คนนี้...ฉันก็คงไม่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อ (อันนี้น่าคิดแฮะ!)

ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป...

คุณ” กลับมาทำไม? คำถามแรกที่ฉันถามแม่ของตัวเองกับครั้งแรกที่เจอเธอ  แม่  ตอบฉันสั้น ๆ ด้วยเสียงสั่นเครือว่า คิดถึงลูกมาก อยากเจอหน้าลูก อยากกอดลูก ฯลฯ แต่แม่ไม่มีความกล้าพอที่จะออกมาเจอหน้าลูก จึงได้แค่แอบมองดูอยู่ห่างๆ คุณ พูดว่าคิดถึงพวกเรางั้นรึ?แล้วทำไม คุณถึงได้ทิ้งพวกเราไป?  คุณรู้บ้างมั๊ยว่าพวกเราต้องรู้สึกยังไง?  หลายปีที่ผ่านมาคุณรู้บ้างรึเปล่า ว่าพวกเราต้องเผชิญกับอะไรมาบ้าง?  คุณทิ้งพวกเราไปโดยไม่สนใจใยดีแม้แต่นิด  แล้ววันนี้คุณจะกลับมาเพื่ออะไร? เพื่อที่จะชดเชยความเป็นแม่ของคุณงั้นรึ? มันสายไปแล้วล่ะสำหรับการเริ่มต้นใหม่ของคุณ  พวกเราอยู่กันได้โดยไม่มีคุณ เพราะพวกเรามีแค่ พ่อ คนเดียวก็เพียงพอแล้ว พ่อที่เป็นทั้ง พ่อและแม่”  ในเวลาเดียวกัน แล้วพ่อก็ทำหน้าที่นั้นได้ดีที่สุด หรืออาจจะมากกว่าคุณด้วยซ้ำ... สิ้นคำพูดของเด็กอายุ 10 ขวบ อย่างฉัน เธอก็ร้องไห้ออกมาและพูดออกมาได้แค่เพียงว่า แม่ขอโทษ  กับพวกเราเท่านั้น  แล้วแม่ก็เดินจากไป (อีกครั้ง)

เมื่อความสุขผ่านมาเยือน(อีกครั้ง)


ฉันยังจำวันนั้นในอดีตได้ดี วันที่ท้องฟ้าสดใสเป็นพิเศษ ดอกไม้ที่ฉันกับน้อง ๆ ช่วยกันปลูกหน้าบ้านก็เริ่มผลิดอกบาน สวยสะพรั่ง มองดูแล้วช่างสวยงามและเป็นวันที่พวกเรารู้สึกมีความสุขที่สุดในรอบหลายๆ ปีที่ผ่านมา... ณ ช่วงเวลาที่เราต่างก็ชื่นชมกับผลงานของตัวเองอยู่นั้น พวกเราก็รู้สึกว่ามีคนกำลังแอบมองเราอยู่ เอ๊ะใครกัน? รึว่าจะเป็นขโมย? แต่ไม่น่าจะใช่ เพราะนี้มันเพิ่งเช้าตรู่ จะมีขโมยได้อย่างไร  ฉันและน้องสาวไม่สนใจว่าจะเป็นอะไร หรือใคร จึงรีบเดินเข้าไปในบ้านเพื่อจัดแจกันดอกไม้ แต่ด้วยความอยากรู้ อยากเห็น ปนความสงสัยของเจ้าน้องชายตัวดี จึงเดินถือไม้เข้าไปดูใกล้ ๆ (ถือไม้กวาดเนี้ยนะ?) สักพัก หูก็ได้ยินเขาร้องตะโกนเสียดังลั่น ฉันและน้องสาวต่างก็ตกใจทิ้งแจกันแล้วรีบวิ่งไปหาเจ้าน้องชาย ทันทีที่เห็นน้องชายของฉัน เขาไม่ได้เป็นอะไรเลยสักนิด แต่ที่พวกเราตกใจมากที่สุดคือ ภาพที่น้องชายของฉันกอดกับผู้หญิงคนหนึ่ง....ใช่แล้วล่ะคะ! ผู้หญิงคนนั้น ก็คือ แม่ของพวกเรา นั่นเอง

จะเข้มแข็ง.... หรือจะอ่อนแอ

                       เมื่อตอนเด็กๆ ฉันค่อนข้างเป็นเด็กขี้โรค ไม่ค่อยจะแข็งแรงสักเท่าไหร่ เพราะภูมิต้านทานน้อยบ่อยครั้งที่พ่อต้องพาฉันไปหาหมอ และฉันก็มักจะร้องไห้งอแงไม่อยากไป เพราะกลัวเข็มฉีดยา (มีเด็กคนไหนบ้างล่ะไม่กลัว ใช่ม่ะ?) และที่สำคัญฉันเกลียดการทานยามาก ยี้..ขมสุดสุด!! และพ่อก็มักจะพูดเสมอว่า ถ้าไม่ทานยาเราก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอ ขี้แพ้ ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เริ่มต้นด้วยซ้ำ แล้วแบบนี้จะดูแลน้อง ๆ ได้อย่างไร?
ลูกเลือกที่จะเข้มแข็ง หรือ เลือกที่จะอ่อนแอ กันล่ะ ??  ชีวิตคนเราบางครั้งก็มีความท้อแท้ อ่อนแอ เกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลา แต่หากมีความอ่อนแออยู่เป็นประจำ ก็จะทำให้เรากลายเป็นคนล้มเหลว.. .ในทางตรงกันข้าม หากเราเลือกที่จะเข้มแข็ง เราก็จะไม่กลัวความล้มเหลว และคิดว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ ที่สามารถเริ่มต้นใหม่ แก้ไข ปรับปรุงใหม่ ได้เสมอ และความพยายามในการสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเอง ย่อมนำมาซึ่งสิ่งดี ๆ ให้กับชีวิต...

ชีวิต มันไม่ได้ดังใจเราเสมอไปหรอก!

                            สิ่งที่เรามีอยู่และฝันที่ไม่ไกลเกินเอื้อม อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราแต่ละคนแล้วก็ได้ ไม่ใช่เพราะว่าเรามีคุณค่าน้อยกว่าคนอื่น มีค่าไม่ควรแก่ สิ่งดีที่สุดที่ใคร ๆ ก็อยากได้อยากเป็นเจ้าของ หากเป็นเพราะว่าเรามีค่าเกินกว่าที่จะไปแย่งชิงกับใคร ..แม้ในสิ่งที่ขึ้นชื่อว่า ดีที่สุดหลายสิ่งที่ต้องการ ก็ไม่ได้มา ขณะที่บางสิ่ง แม้ว่าจะได้ตามความต้องการ หากก็ดูเหมือนจะ..ไม่สมปรารถนา สักเท่าไหร่... เมื่ออะไร ๆ เปลี่ยนไป ชีวิตคนเรามันก็ไม่ได้ดังใจเราเสมอไปซะทุกครั้ง มีหลายครั้งที่ฉันต้องตั้งคำถามให้กับตัวเอง ว่าทำไมฉันถึงไม่มีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบเหมือนกะคนอื่น ๆ เค้า ฉันมักจะอิจฉาเพื่อน ๆ ที่เขามีทั้งพ่อและแม่ ในเวลาเดียวกัน แต่สำหรับฉันไม่มี!  ในชีวิตเด็กของฉันไม่ต้องการอยากได้ของเล่นเหมือนกะเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่เด็กอย่างฉันอยากได้มากที่สุด ณ เวลานั้นก็คือ การกลับมามีครอบครัวที่อบอุ่นอีกสักครั้ง   พร้อมหน้า พร้อมตา พ่อ..แม่..ลูก..   

            


ลักษณะของพ่อย่อมปรากฏอยู่ในตัวลูก (ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น)

                           เมื่อพ่อต้องทำงานหนักมากขึ้น ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบภายในบ้าน รวมทั้งต้องดูแลน้อง ๆ จึงตกอยู่ที่ฉัน  พ่อสอนฉันเสมอว่า ฉันเป็นพี่คนโต ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับน้อง ๆ  พ่อสอนให้ฉันหัดทำอะไรหลาย ๆ อย่าง เพื่อที่จะได้เรียนรู้และรับผิดชอบตัวเองให้ได้ คุณพ่อมีนิสัยเป็นคนอ่อนโยน จิตใจดี เข้มแข็งและอดทน ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แถมยังเป็นคนค่อนข้างชอบความสะอาดและเจ้าระเบียบนิด ๆ นี้แหล่ะนะที่เขาเรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น สงสัยจะจริงแฮะ!  ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่า สิ่งที่พ่อสอนฉันมาทั้งหมด มันทำให้ฉันภูมิใจในตัวเองมากแค่ไหน รักพ่อจังเลย


เวลาไม่เคยรอใคร ผ่านแล้วก็ผ่านเลยไปเหมือนสายน้ำ...ที่ไม่มีวันไหลย้อนกลับ

                            เวลาผ่านไปนาน...นานเสียจนจำไม่ได้ว่า ชีวิตช่วยวัยเด็กของฉันมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันรู้แค่เพียงว่า ครอบครัวที่ฉันรักมีเพียงแค่พ่อและน้องเท่านั้น พ่อ  คนที่ให้ความรัก ความอบอุ่น และความห่วงใยให้กับลูก พ่อไม่เคยปริปากบ่นว่าลำบากแค่ไหนที่ต้องแบกภาระเลี้ยงดูลูก ๆ ทั้งสามคน ตลอดระยะเวลาหลายปี พ่อยอมทำงานหนักทุกอย่างเพื่อให้ลูกกินอิ่มนอนหลับสบาย  พ่อไม่เคยเหน็ดเหนื่อยที่จะพร่ำสอนให้ลูกทุกคนเป็นนคนดี แม้ลูกจะไม่มีแม่เหมือนเด็กคนอื่นเค้า...แต่พ่อก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกของพ่อมีความสุขที่สุด...  



ความทรงจำอันโหดร้าย...

แค่ฟังชื่อต้นเรื่อง ก็ไม่น่าอ่านแล้ว ใช่มั้ยล่ะคะ? ความทรงจำของเด็กอายุ  6-7 ขวบ จะกลายเป็นความทรงจำอันโหดร้ายได้อย่างไร แต่เชื่อเถอะคะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ...เรื่องราวที่จำฝังใจและลึกลงไปในหัวสมองของฉัน  ซึ่งยากนักที่จะสลัดมันออกจากความทรงจำในอดีต จวบจนถึงทุกวันนี้...
ครอบครัวของฉัน ที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุข และสมบูรณ์แบบที่สุดในสายตาของคนรอบข้าง...แต่เปล่าเลยคะ! มันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ครอบครัวที่เคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา  พ่อ-แม่-ลูก  แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว... คงเหลือแต่.. พ่อกับลูก เท่านั้น...
แม่... ทิ้งพวกเราไป เมื่อน้องชายคนสุดท้องพึ่งอายุได้แค่เพียง 3 ขวบ เท่านั้น มีเพียงฉันและน้องสาวที่ยังจำภาพนั้นได้เป็นอย่างดี.. ภาพที่เรานั่งร้องไห้เกาะขาแม่ ปากก็ร้องพูดว่า แม่อย่าทิ้งหนูไป  อย่าทิ้งหนูไป  อยู่กับหนู!!  แต่แล้วแม่ก็ไป... เหมือนกับว่า แม่ไม่ได้ยินเสียงคำอ้อนวอนจากปากของคนที่เธอเรียกว่า ลูก 

เรื่องเล่าในวัยเยาว์ ตอนที่ 2

 

มาติดตามอ่านกันต่อจากตอนเดิมที่แล้วกันนะคะ...       
หลังจากนั้นไม่นาน (ที่จริงแล้วจำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่) พ่อกับแม่ก็มีน้องสาว และน้องชาย  ไว้เป็นของเล่นให้ฉัน อุ้ย! ไม่ใช่สิ เป็นเพื่อนเล่นกับฉัน และท่านมักจะสอนให้ฉันรักน้องไว้มาก ๆ เพราะว่าฉันเป็นพี่คนโต ต้องดูแลน้องให้ดีที่สุด ต้องเป็นที่พึ่งแทนพ่อกับแม่ได้ (ให้เด็ก อายุ 5-6 ขวบ เนี้ยนะดูแลน้อง?)  เมื่อพ่อกับแม่มีน้องที่ต้องดูแล ฉันก็เลยเกิดความรู้สึกน้อยใจตามประสาเด็ก ๆ ว่าน้องเกิดมาเพื่อแย่งความรักพ่อกับแม่จากฉันไปหมด ท่านไม่มีเวลาพาฉันไปเดินเล่น หรือแม้แต่เล่านิทานก่อนนอนให้ฉันฟัง ความรู้สึกเหงาหว้าเหว่ โดดเดี่ยวเดียวดายเริ่มก่อตัวขึ้น เพราะคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนสำคัญและเป็นส่วนเกินของครอบครัว  ฉันก็เลยเริ่มเป็นเด็กเก็บความรู้สึก (กลายเป็นเด็กเก็บกดไปซะแล้วเรา) ไม่กล้าพูด กล้าถาม หรือกล้าแสดงออกความรู้สึกใด ๆ ออกมา เพราะฉันกลัว และไม่อยากได้ยินพ่อกับแม่พูดว่าฉันเป็นลูกที่ท่านเก็บมาเลี้ยงและจะไม่รักฉันอีก...  เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งเล่นคลุกฝุ่นอยู่คนเดียว โดยมีพี่ตุ๊กตา 1 ตัวไว้เป็นเพื่อนเล่นยามเหงา (ความรู้สึกตอนนั้นฉันยังจำได้ดี แม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็เถอะ) แต่ฉันก็ยังเป็นเด็กที่โชคดี ฉันยังจำได้ว่า ฉันมีคุณตาใจดีที่ฉันรักมากที่สุด... ทุก ๆ วัน คุณตาจะอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับฉัน สอนฉันอ่านหนังสือ สอนฉันวาดรูป และพาฉันเข้านอน พร้อมเล่านิทานให้ฉันฟัง (แม้เรื่องที่ท่านเล่าจะไม่สนุกสำหรับฉันก็เถอะ) แต่ฉันก็ไม่เคยปฎิเสธในความมีเมตตาและความรักของท่านที่มีต่อฉันเสมอ   ฉันยังจำอ้อมแขนที่อบอุ่น คำพูดที่อ่อนโยน ของท่านได้ทุกครั้ง ยามที่ฉันวิ่งร้องไห้ ออกมาจากบ้าน เพราะถูกแม่ทำโทษ เพราะฉันงอแงอยากได้ของเล่นชิ้นใหม่ตามประสาเด็กทั่วไป ก็มีแต่คุณตานี้แหล่ะ ที่คอยปลอบโยนและเช็ดน้ำตาให้ฉัน ท่านมักจะสอนฉันเสมอว่า เป็นเด็กดีต้องไม่ร้องไห้ ไม่งอแง ไม่เป็นเด็กดื้อ ไม่เอาแต่ใจตัวเอง และมีคำ ๆ หนึ่ง ที่ท่านสอนฉันก่อนที่ท่านจะจากฉันไปไว้ว่า ถ้าอยากให้มีแต่คนรักมาก ๆ ต้องเชื่อฟังพ่อกับแม่ และที่สำคัญต้องเรียนหนังสือให้เก่ง ๆ  ถึงจะมีแต่คนรัก จำไว้นะหลาน! หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้ยินเสียงคุณตาที่รัก ของฉันอีกเลย  แม่บอกว่าคุณตาไปเป็นเทวดาที่สวรรค์แล้ว ท่านไปดีแล้วล่ะลูก ไม่ต้องร้องไห้และเสียใจเลย เดี๋ยวคุณตารู้ว่าหนูร้องไห้ ท่านจะเสียใจมากรู้มั๊ย ฉันก็ไม่เข้าใจคำพูดของแม่หรอกน่ะว่า ไอ้ที่ไปดีเนี้ยมันหมายความว่ายังไง? แม่เคยเล่าให้ฉันฟัง เมื่อตอนฉันยังเด็ก ฉันถามแม่ว่า  สวรรค์อยู่ที่ไหน ไกลมั๊ยคะแม่? หนูอยากไปเยี่ยมคุณตา แม่ได้ฟังแค่นั้นก็หัวเราะฉันใหญ่เลย แล้วก็ไม่มีคำตอบจากปากของแม่ (ตอนนี้ฉันรู้แล้วล่ะว่าทำไมแม่ถึงได้หัวเราะฉัน...ฮึ่ม!!

You can replace this text by going to "Layout" and then "Page Elements" section. Edit " About "