ภาพจากอดีต..สู่ปัจจุบัน (ภาค 1)

           เขียน blog มาตั้งนานยังไม่มีโอกาสได้ลงรูปตัวเป็นๆ ของตัวเองซะที แบบว่าเขินตัวเอง แล้วก็กลัวคนดูจะรับไม่ได้ต่างหากหล่ะ...อิอิ ยังไงดูรูปเจ้าของบล็อกแล้วก็อย่าพึ่งหนีจากกันไปซะก่อนนะคะ อยู่เป็นเพื่อนกันไปนานๆ ก่อน เผื่อว่าจะได้เป็นกำลังใจให้เจ้าของบล็อกยังไงล่ะคะ...ถ้าพร้อมแล้วก็ตามมาดู Before&After  ของเจ้าของบล็อกกันเลยจ้า... 
                                                                                                   
                                                                                                                                                                 Before
เด็กแบเบาะ...อุ๊แว๊ อุ๊แว๊

สมัยเป็นเด็ก 4 ขวบ




                           ข้ามไปตอนโตเลยล่ะกัน เดี๋ยวจะเยอะไป..อิอิ

ตอนนี้อายุสัก 12-13 ปี

อายุ 17 ปี (กำลังเป็นสาว..อิอิ)

อืม..รูปนี้น่าจะ 19 ปี
เป็นสาวเต็มตัว อายุ 21 ปี

อันนี้ถ่ายมือถือ(ไม่ชัดเท่าไหร่)
ถ่ายอยู่หอพัก

 
อายุ 22 ปี
ไปเที่ยวพัทยา

สาวนักศึกษา

อีกสักรูป
แหม่..น่ารักซะ! (ตุ๊กตาน่ะ)

รูปนี้ถ่ายตอนไปเที่ยว cameron-highland ประเทศมาเลเซีย




อีกสักรูป...สู้ตายคะ

รูปนี้กำลังจะไปงานแต่งงานคนรู้จัก(ถ่ายมือถือ)
วันนี้เอาพอแค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวมาอัฟเดตรูปใหม่ หวังว่าเพื่อนๆ ดูรูปแล้ว คงไม่นอนผวากันนะึคะ

ความไม่เข้าใจระหว่างคนสองคน

                “คนเรามักพูดอยู่เสมอว่าอยากทำอะไรเพื่อคนอื่น แต่ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน” ก็เห็นจะจริง... แต่แท้จริงแล้วชีวิตคนเราสามารถอยู่ร่วมกันได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจซึ่งกันและกัน...มันก้อน่าแปลกอยู่หรอกนะ...ขณะที่เราพูดว่าไม่มีใครเข้าใจเรา แต่เรากลับไม่เคยถามตัวเองบ้างเลยว่า  เคยเข้าใจผู้อื่นบ้างหรือไม่ เคยนึกถึงความรู้สึกของเค้า ขณะที่เราแสดงออกหรือไม่ บางทีหากคิดที่จะให้ผู้อื่นเข้าใจเรา เราก็ต้องจำเป็นต้องเข้าใจผู้อื่นก่อน เมื่อนั้นเราอาจค้นพบว่าที่เคยคิดไปว่าคนอื่นไม่เข้าใจเรา แท้จริงแล้ว เราเองต่างหากที่ไม่เคยเข้าใจคนอื่น หรือแม้กระทั่งเข้าใจตัวเองเสียด้วยซ้ำ การที่เราไม่ยอมลดละต่อเหตุผลของอีกฝ่ายเนื่องจากเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคน ที่เราไม่พร้อมจะเปิดใจยอมรับมัน ซึ่งเราไม่เคยใช้เกณฑ์แห่งความพอดี มาเป็นจุดนัดพบและตัดสินใจ... การไม่เข้าใจระหว่างคนสองคน บางครั้งจึงเสมือนว่า คนหนึ่งยืนหยัดอยู่บนความถูกต้อง ขณะที่อีก คนตั้งมั่นบนความถูกใจ ต่อให้พูดจากันอย่างไร ก็ไม่มีวันลงเอยด้วยดีอย่างแน่นอน อย่าคิดเลยว่าเราจะต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เราพึงพอใจและทำให้เรามีความสุขได้เท่านั้น เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกใบนี้ บางสิ่งบางอย่างที่เราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหนีจากมันเสมอไป เมื่อเราเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอดทนอยู่กับมันให้ได้ สิ่งที่ยากเปลี่ยนแปลงแก้ไขนั้น ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายเสียซะทุกอย่าง บางครั้งความคาดหวังของเราอาจจะสูงเกินไปก็ได้ คนเราควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับบางสิ่งที่มิได้เป็นดั่งใจเราทุกประการให้ได้ มิเช่นนั้นเราก็จะหาความสุขได้ยาก  ฉะนั้นแล้วฉันคิดว่า ทุกๆ คน ต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง ลองหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกัน และที่สำคัญอย่าโกรธเมื่อจำนนต่อเหตุผล อย่าเรียกร้องว่าไม่มีใครเข้าใจ เพราะเสียงจากอีกฝ่ายก็คงไม่แตกต่างกัน…ลองรู้จักคิดถึงหัวอกของผู้อื่นบ้าง แคร์ความรู้สึกของคนใกล้ตัว เปิดใจก้าวเดินเข้าหากันดีกว่าคะ แล้วทุกอย่างก็จะดำเนินไปได้ด้วยดี...

ยอมถอยสัก 1 ก้าว

                    การยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอ บางครั้งก็ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น เพราะสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นที่เราอ่อนแออย่างถึงที่สุดแล้ว มันจะเป็นการเรียนรู้เริ่มต้นใหม่ที่ดีเสมอ..เราลองปรับเปลี่ยนมุมมองของชีวิต ลองนึกถึงตัวเองให้น้อยลง แล้วคิดถึงผู้อื่นให้มากขึ้น เราก็จะมีความสุขได้ง่ายขึ้น...เอาใจเขามาใส่ใจเรา อย่าไปยึดติดกับความคิดส่วนตัวของตัวเองมากจนเกินไปจนลืมนึกถึงผู้อื่น...อย่าถือเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ จนมองข้ามความคิดและความรู้สึกของคนอื่นไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งความรู้สึกนึกคิดของคนเราเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเสมอ เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ หรือชาติหน้า อันไหนจะมาก่อนกัน? ฉะนั้นแล้วเราควรมีความสุขกับความเป็นจริงในวันนี้เพราะพรุ่งนี้เราอาจไม่มีโอกาส...
ลองยอมถอยสัก 1 ก้าว แล้วเปิดใจเพื่อยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่น ยอมลดทิฐิของตัวเองลง  เพื่อปรับความเข้าซึ่งกันและกัน หากคนสองคน พูดและรับฟังความรู้สึกของกันและกัน โดยใช้  “ใจ” และ “ความเข้าใจ” เป็นที่ตั้ง ปัญหาและความขัดแย้งก็จะลดลง  หากต่างคนต่างก็มีอคติต่อกัน มันก็เหมือนกับทั้งคู่ก่อสร้างกำแพงเพื่อปิดกั้นและขังตัวเองเอาไว้  นับวันกำแพงนั้นก็จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย ฉันคิดว่า...ปัญหานี้ คุณลองจับมือกันค้นหาความหมายของการอยู่ร่วมกันน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า ไม่ใช่ต่างคนต่างเก็บเอาปัญหามาโยนใส่กัน ไม่รับรู้ความรู้สึกและความนึกคิดของอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการไม่ยอมลดทิฐิที่ตัวเองมีอยู่ หัดโอนอ่อนในภาวะที่อีกฝ่ายแข็งกระด้าง เป็นสายลมเย็น ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นลมร้อน หากต่างคนต่างใช้คำพูดที่แรงๆ ประชดประชันกัน ที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อความสะใจ แต่ลึกๆ ข้างในก็เสียใจกับสิ่งที่ทำทั้งคู่  รู้อย่างนี้แล้วจะทำไปเพื่ออะไร? ทำแล้วมันก็ไม่ได้สร้างผลดีให้กับใครเลย ลองนึกย้อนไปช่วงเวลาที่เราต่างก็มีความสุข ถ้าความรู้สึกดีๆ จะหายไป เพียงแค่เราเผลอลืมว่ายังมีกันและกัน มันก็น่าเสียดายเวลาดีๆ เสียดายคนดีๆ และเสียดายความรักดีๆ ที่เราปล่อยให้หายไปจากใจเรา เพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่... “ความไม่เข้าใจกัน” คงไม่ใช่สิ่งที่ดูเลวร้ายและเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสจนไม่สามารถให้อภัยกันได้ หากเพียงแต่เราพร้อมใจก้าวออกมาจากทิฐิที่มีต่อกัน ลองหันกลับไปมองดูกำแพงที่ก่อเอาไว้แล้วหยิบค้อนขึ้นมาเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยทั้งคู่ ทุบกำแพงที่กั้นกลางความไม่เข้าใจนั้นซะ แล้วเราก็จะเจออะไรบางอย่าง...นั่นไง....คำว่า “เราอภัยให้กัน” คุณทั้งคู่เจอมันแล้วรึยัง? ฉันขอฝากเรื่องนี้ให้กับเพื่อนรักของฉันทั้งสองคน เผื่อว่าอ่านแล้วจะเข้าใจกันมากขึ้น...ไม่มากก็น้อย





"ความรู้สึกพอ"












                                                                 


                              ขอขอบคุณข้อมูลดีดี จาก forward mail
 

ในทุกข์...มีสุขอยู่เสมอ

             ในเวลาที่มีความทุกข์ คนเรามักจะมองโลกในด้านเดียวเสมอ คือด้านร้าย เรามักจะเฝ้าถามตัวเองด้วยคำถามซ้ำๆ  ว่าทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา ทำไมต้องเป็นเรา จนลืมไปว่า ในเวลาที่เราทุกข์ใจแสนสาหัสนั้น ยังมีสิ่งอื่นๆ ให้เราได้เรียนรู้อีกมากมาย...รวมทั้งความสุข
ประมาณ สาม-สี่ปีที่แล้ว คุณพ่อสุดที่รักของฉัน เกิดอุบัติเหตุรถชน ทำให้พ่อของฉันได้รับบาดเจ็บแขนขวาหัก ทำให้ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลานานพอสมควร นอกเหนือจากแขนขวาหักแล้ว คุณพ่อยังเกิดอาการเครียดจัดขึ้นมาอีก และนี่ก็เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะโรคแทรกซ้อนอีกหลายโรคตามมา ทั้งพึ่งรู้ว่าตัวเองเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคเก๊าท์ ฯ (ยิ่งเครียดจัดเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว) ในอีกแง่มุมหนึ่ง ฉันพบว่า การเจ็บป่วยและการสูญเสียครั้งนี้ ครอบครัวของเราได้เรียนรู้สิ่งที่เราหลงลืมไปหลายๆอย่าง เราเริ่มคิด พูด ทำแต่สิ่งที่ดีต่อกันมากขึ้น ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ได้เรียนรู้การเผชิญความทุกข์ร่วมกันภายในครอบครัวส่วนแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดซึ่งได้หย่ากับพ่อแล้วก็เดินทางมาเยี่ยม ทำให้ครอบครัวของเราได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง เมื่อพ่อได้ใช้เวลาว่างที่นอนพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น หันมาอ่านหนังสือธรรมมะมากขึ้น ซึ่งทำให้เข้าใจถึงความเป็นจริงในชีวิตมนุษย์ ยอมรับและเข้าใจถึงความสูญเสียและการเจ็บป่วยของตัวเอง เมื่อสามารถทำใจได้และเข้าใจถึงธรรมชาติของโลกได้ว่ามี ทั้งสุข-ทุกข์ ได้มา- เสียไป เป็นของคู่กัน ไม่มีสิ่งใดยั่งยืนอยู่ได้ไปตลอด ทำให้เห็นว่าความทุกข์ทั้งปวงที่เข้ามานั้นไม่หนักหนาเกินกว่าที่ใจเราจะทนได้...
ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ฉันสามารถพูดได้อย่างภาคภูมิใจว่า สิ่งที่เราต้องประสบในชีวิต หลายครั้งแม้จะทำให้เราทุกข์มากมายเพียงใด ในความทุกข์นั้นก็ยังมีความสุขซ่อนไว้อยู่เสมอ ครอบครัวของฉันได้เรียนรู้อะไรได้หลายร่วมกัน ความรักจากคนในครอบครัวนั้นสำคัญมากแค่ไหน ความรักความห่วงใยที่มีให้แก่กัน ได้เห็นน้ำใจของคนรอบข้างที่มีต่อเรา ได้เห็นความเอาใจใส่ของแพทย์และพยาบาลที่ดูแลพวกเราอย่างดี ได้หันมาดูแลร่างกาย จิตใจของตัวเองและคนรอบข้างกันมากขึ้น ที่สำคัญคือ        “ได้หันมาใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้น” และเหนือสิ่งอื่นใด เราได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระพุทธศาสนา ซึ่งสอนให้เราเข้าใจในความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ รู้เท่าทัน ทุกข์และสุข เมื่อเรานำหลักธรรมมาใช้ในการดำรงชีวิต ไม่ว่าต่อไปในวันข้างหน้าจะมีอะไรเข้ามา ธรรมะก็จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของเราตลอดไปคะ...
            

รั้วมหาลัย

           และแล้ววันนี้ก็มาถึงเมื่อเด็กหญิงบ้านนอก หน้าตาบ้านๆ คนหนึ่ง ได้ก้าวเท้าเข้าสู่รั้วมหาลัย ความรู้สึกวันแรกที่ได้สวมชุดนักศึกษา มันช่างแตกต่างจากชุดนักเรียนคอซองเป็นอย่างมาก...แต่ที่แตกต่างกว่าครั้งนั้นมากที่สุดก็คือความรู้สึกที่ว่า...ฉันโตเป็นผู้ใหญ่ไปแล้วขั้นหนึ่ง และพ่อของฉันเองก็ภูมิใจในตัวฉันมากที่โตเป็นผู้ใหญ่ซะที ฉันเลือกเรียนคณะที่ฉันถนัด ถึงแม้ว่าฉันต้องเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างก็ตาม โรงเรียนใหม่ ห้องเรียนใหม่ หลักสูตรตำราเรียนใหม่ ที่สำคัญมองหาเพื่อนใหม่ๆ แต่นั่นไม่สำคัญสำหรับฉันสักเท่าไหร่ เพราะฉันคิดว่า ฉันเองมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี คงหาเพื่อนได้ไม่ยาก... และมันก็คงเป็นอย่างที่ฉันคิดเอาไว้ ฉันเริ่มเรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง และปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆในเวลาเดียวกัน... ช่วงที่ฉันศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ชีวิตของฉันต้องต่อสู้อะไรต่อมิอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนที่ต้องแข่งขันกับเพื่อนๆในระดับเดียวกัน แต่ที่หนักสุดก็คงเป็นเรื่องต่อสู้กับตัวเองนั่นแหล่ะ บางครั้งฉันก็ท้อ เหนื่อยล้า ขี้เกียจมั่งล่ะ ไม่เอาบ้างล่ะ จนมีความคิดที่จะดร็อปเรียนไปเลยก็มี แต่ทุกอย่างมันก็ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะความขยันและอดทนของตัวฉันเอง ไอ้เรื่องเรียนเก่งน่ะเหรอ? ฉันก็เรียนไม่เก่งหรอก แต่ฉันอาศัยที่ว่าขยันอ่านหนังสือหน่อย หัดทำแบบฝึกหัดมั่ง ให้เพื่อนช่วยติวมั่ง เอาไปเอามา ฉันก็เรียนจบ ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.32 (ถือว่าไม่เลวเลยนะ..อิอิ) ทุกๆ อย่างที่ฉันทำสำเร็จมันขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะใส่ใจและอดทนกับมันมากแค่ไหนเท่านั่นหล่ะ แล้ววันที่ฉันเฝ้ารอคอยมากที่สุดในครั้งหนึ่งของชีวิตฉันก็มาถึงคือ การเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร มันเป็นวันที่ฉันดีใจมากที่สุด และครอบครัวของฉันก็ภูมิใจในตัวฉัน เฮ้อ! เรียนจบซะทีน่ะเรา...

ภาพวันองค์หลวงตามหาบัวเข้าสู่พระนิพพาน...


 ภาพวันองค์หลวงตาเข้าสู่พระนิพพาน
๓๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ เวลา ๐๓.๕๓ นาที
ตลอดถึงวันพระราชทานเพลิงศพ
ถึงวันที่ ๕ (โดยประมาณ) มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔






























(ขออนุโมทนาขอบพระคุณศิษย์ผู้เอื้อเฟื้อภาพแห่งประวัติศาสตร์)
 ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.luangta.com

You can replace this text by going to "Layout" and then "Page Elements" section. Edit " About "