“เพื่อน”

วันนี้นึกเกิดความรู้สึกคิดถึงเพื่อนขึ้นมาไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร...แต่จู่ๆโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น (ปกติไม่มีใครโทรหา อิอิ..) หมายเลขปลายทางดูไม่คุ้นตา เอ๊ะใครกันนะ?  ทันทีที่ฉันยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาและฟังเสียงนั้น มันทำให้ฉันดีใจมากจนแทบพูดไม่ออก...ใช่แล้วคะ เจ้าของเสียงนั้นก็คือ เพื่อนรัก ของฉันเอง..ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งนัก ทันทีที่ฉันคิดถึงเพื่อนคนนี้ขึ้นมา... เขาก็ติดต่อกลับมาหาฉันทันที...เหมือนกับว่าหัวใจของเรานั้นตรงกัน...นานแล้วซินะ! ที่เราไม่ได้เจอไม่ได้พูดคุยกัน ตั้งแต่ที่เราเรียนจบและแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของใครของมัน...เราคุยโทรศัพท์กันนานพอสมควร ถามสารทุกข์สุขดิบคลุกเคล้าเรื่องทั่วไป และลงท้ายด้วยคำว่า “คิดถึงแกว่ะเพื่อนรัก”    
และนี้ก็เป็นที่มาสำหรับการเขียนบทความเรื่องนี้ “เพื่อน” สำหรับฉันแล้ว คำว่าเพื่อนในสัมพันธภาพที่แท้จริงไม่มีวันจบสิ้น...เพื่อนจะคงอยู่ตลอดไป ในวันที่เรารู้สึกสับสนวุ่นวาย รู้สึกเหงา หว้าเหว่ ไม่เข้าใจชีวิต ตัดสินใจไม่ถูก หาคำตอบไม่เจอหรือเจอะเจอกับปัญหาอะไรก็แล้วแต่...คุณคิดถึงใครเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา? ฉันเองยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่ยังมีเพื่อนคอยอยู่เคียงข้างมาโดยตลอด “เพื่อน” เป็นคนที่ทำให้เรายิ้ม เป็นคนที่คอยให้กำลังใจ คอยให้คำปรึกษา คอยช่วยเหลือ  เป็นคนที่คอยปลอบใจเราเมื่อยามเศร้า  ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราแม้จะไม่มากมายแต่เวลาที่เราไม่เหลือใครจริงๆ อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันยังมีเพื่อน... ซึ่งบางครั้ง “เพื่อน” ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันไปแล้ว "ฉันโชคดี" ที่ฉันได้มีโอกาสได้รู้จักใครสักคนที่จริงใจกับเรา และใช้ชีวิตมาด้วยกันในคำว่า "เพื่อน" ยั่งยืนยาวนาน...มาจนถึงวันหนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายใช้ชีวิตของตัวเองและได้เรียนรู้ความเป็น "ผู้ใหญ่" หากความสัมพันธ์กลับไม่เคยจางหายไปไหนมันยังคงอยู่ตรงที่เดิม... มิตรภาพความเป็นเพื่อนนั้นไม่มีวันหมด...เพื่อน ดีๆ สำหรับฉันในตอนนี้คือ เพื่อนที่ต่างก็ใช่ชีวิตทำหน้าที่ของตัวเองไป แต่พร้อมที่จะให้กำลังใจ และอยู่เคียงข้างกันในยามที่เราต้องการ และกลับกันในยามที่เค้าต้องการ ก็จะมีเพื่อนอย่างฉันอยู่ใกล้ๆ เช่นกัน   สุดท้าย ยินดีที่ได้รู้จัก กับทุกๆ มิตรภาพที่มีมา และแม้จะมีเพื่อนบางคน ที่ห่างและหายไปตามกาลเวลา แต่ก็ดีใจที่อย่างน้อย เราเคยรู้จักและเป็นเพื่อนกัน ในช่วงหนึ่งของชีวิต สำหรับฉันความเป็นเพื่อน ไม่มีการจากหรือร่ำลา เพราะฉะนั้น ฉันจะไม่เอ่ยคำอำลาใดๆ กับเพื่อนอาจจะต้องห่างหายกันไปตาม วาระ และ หนทางของแต่ละคน นั่นเพราะเราจะเป็น "เพื่อน" กันเสมอ แม้เมื่อยามไม่เจอกัน...
ในนิยามของฉัน...เพื่อนที่ดีก็เหมือนดวงดาว คุณจะไม่ได้เห็นพวกเขาตลอดเวลา...แต่คุณจะรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นเสมอ...

" some time happy? some time sad? but all time friend "




เล่าเรื่องจากภาพถ่าย ตอนที่ 4


ครอยากไปเที่ยว...ยกมือขึ้น?  เมื่อสมัยครั้งยังเป็นเด็ก เพื่อนๆ คนไหนชอบเที่ยวบ้างคะ? ส่วนตัวฉันเองแล้ว ครอบครัวของฉันชอบการเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ ส่วนใหญ่พ่อมักจะพาฉันและน้องๆ ไปเที่ยวสวนสัตว์ ไปเล่นของเล่นในที่สวนสาธารณะ ไปพิพิธภัณฑ์  และอุทยานแห่งชาติ ฯลฯ


มีความทรงจำที่ประทับใจของฉันครั้งหนึ่ง ฉันจำได้ว่าพ่อพาฉันและน้องๆ ไปเที่ยวที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ และนั่นก็เป็นครั้งแรกในชีวิตของพวกเราที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวเดินเล่นในห้าง ซึ่งเต็มไปด้วยของเล่นเต็มไปหมด แต่ที่พวกเราชอบมากที่สุด ก็คงจะเป็น “สระว่ายน้ำ”  นี้แหล่ะคะ สนุกสุดๆ ในชีวิต (แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้) และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่พวกเราสามพี่น้องได้ไปเที่ยว ถ้ามีโอกาสอีกพวกเราจะกลับไปเยี่ยมความทรงจำนั้นอีกครั้ง.... สวนสยาม ทะเล แห่งกรุงเทพฯ

 






เล่าเรื่องจากภาพถ่าย ตอนที่ 3


ลูกใครหว่า ซนอย่างกะลิง?
          ในสมัยก่อนคนเฒ่าคนแก่มีความเชื่อที่ว่า ถ้าอยากให้เด็กมีร่างกายแข็งแรงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ พ่อแม่ต้องปล่อยให้ลูกเล่น..เล่นไปเลย!! จะเล่นดิน เล่นโคลน เล่นทราย โยนก้อนหิน เหยียบดิน เหยียบหญ้า ปีนป่าย ฯลฯ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เขาอยากจะเล่น(ต้องอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่นะจ๊ะ) ก็ปล่อยให้เขาเล่นไปเถอะคะ เพราะการเล่นแบบนี้แหล่ะที่จะทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรง แถมยังสนุกสำหรับเค้าอีกด้วย แต่พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกสมัยปัจจุบันนี้มีความคิดที่แตกต่างจากคนสมัยก่อนๆ มากชนิดที่ว่าเลี้ยงลูกดุจไข่ในหิน หรือแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม อะไรประมาณนั้นแหล่ะคะ ฉันถึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสาเหตุที่เด็กในสมัยปัจจุบันนี้ถึงได้อ่อนแอและขี้โรคกันมากนัก...
         สำหรับครอบครัวฉันแล้ว พ่อกับแม่ ไม่ห่วงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เพราะปล่อยให้ลูกเล่นตามสบายใจชอบ ส่วนตัวฉันกับน้องสาวชอบเล่นดินที่กองอยู่หน้าบ้านของตัวเอง และยิ่งเวลาฝนตกทีไร ก็จะได้กลิ่นหอมของดินโชยมาทุกที กลิ่นมันหอมมั่ก ๆ จนฉันแอบ เอาดินหยิบใส่ปากตัวเองกลืนลงท้อง..รสชาติแปลกๆ แต่ก็อร่อยดี อิอิ (ไม่แนะนำให้ทำตามเป็นความสามารถเฉพาะตัวนะคะ) และภาพที่อยู่ข้างล่างบทความนี้ เป็นภาพที่ฉันกับน้องสาวกำลังเล่นกองดินกันอย่างสนุกสนานทีเดียวเชียว เสื้อผ้าหน้าผม สกปรกสุดๆ จนพ่อสั่งห้ามเล่นไปเลยคะ ให้เล่นอย่างอื่นแทน เพราะแกไม่ไหวจริงๆ ที่จะเคลียร์ เล่นของเล่นที่เด็กผู้หญิงเค้าเล่นกันดีกว่ามั๊ยลูกจ๋า

คนไหนพี่ คนไหนน้อง? ตัวโตด้วยกันทั้งคู่

เล่าเรื่องจากภาพถ่าย ตอนที่ 2

เพื่อน ๆ คงเห็นลิง 3 ตัว อุ้ย! เด็ก ๆ ทั้ง 3 คน ที่อยู่ในภาพข้างล่างกันแล้วใช่มั๊ยคะ? นั่นแหล่ะคะคือภาพชีวิตในอดีตที่แสนเศร้าสุดรันทดของฉันเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก...ฮือ...ฮือ...  อ้าว ผิดคิวซะงั้น! ขอโทษด้วยคะ คือว่ากำลังอินกับละครช่องหลากสี ซึ่งฉันกำลังดูไป เขียนไป...ดูแล้วมันช่างคล้ายกับชีวิตฉันเสียซะจริงเชียว! (เว่อร์! เกินไปรึปล่าวยัยเนี๊ย) เพื่อนๆ คงคิดในใจกันแบบนี้ใช่มั๊ยคะ? มันน่าจะเป็นภาพความทรงจำที่ดีในชีวิตวัยเด็กของฉันและน้อง ๆ ต่างหากหล่ะถึงจะถูก...นอกเรื่องไปซะไกลเลย เอาเป็นว่ากลับเข้ามาติดตามกันต่อดีกว่าคะ
ภาพเก่า ๆ ใบนี้ ฉันจำได้ว่า พวกเรา 3 พี่น้องกำลังจะเข้านอน (ดูจากการแต่งกายและสถานที่ไม่น่าจะเป็นอย่างอื่น) แต่โดนคุณพ่อจับมาลองกล้องใหม่(กล้องสมัยนั้นยังเป็นม้วนฟิมล์กันอยู่เลยคะ) พวกเราก็เลยกลายเป็น นายแบบ นางแบบ จำเป็นนั่งเรียงกันมองกล้องตาแป๋ว แล้วก็ฉีกยิ้มหวานจนถึงใบหู พอฉันนึกถึงภาพนี้ทีไรก็นึกขำตัวเองไม่ได้ทุกที ตอนเด็กๆ ฉันน่ารักขนาดนั้นเชียวเหรอ? (ฮิฮิ  อันนี้โปรดใช้พิจารณาในการชมทุกคนด้วยนะคะ) ที่ขำไม่ใช่อะไรหรอกคะ เพราะว่าฉันและน้องๆ ต่างก็แย่งกันถ่ายรูปตัวเองกันต่างหากล่ะ... ถ้าเพื่อนๆ สังเกตดูดีๆ ภาพนี้จะมีรอยฉีกขาดแล้วก็ดูยับยู่ยี่นิดหนึ่ง รู้ไหมคะว่าทำไม? เกิดอะไรขึ้นกับภาพใบนี้?? เรื่องมันก็นานมาแล้วล่ะคะ ดิฉันก็ไม่อยากจะรื้อฟื้นมันสักเท่าไหร่ แต่ก็เอาเถอะ ถ้าเพื่อนๆ อยากรู้ดิฉันก็จะเล่าให้ฟัง (ที่จริงไม่อยากรู้เล๊ย ตัวเองอยากเล่าก็บอกมาเถอะ คิดในใจกันแบบนี้อีกแล้วใช่มั๊ยคะ? ฮิฮิ)  
คือว่าภาพนี้เป็นภาพที่เราให้แม่เอาไว้ดูต่างหน้าเวลาที่แม่คิดถึงพวกเราไงคะ แต่ที่ภาพมันถูกฉีกออกไป ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมหรือเพราะอะไร?(ไม่เคยถามแม่เลยสักครั้งว่าทำไมถึงฉีกรูปพวกเรา?) ทีแรกนึกว่าถูกนำไปทิ้งที่อื่นซะอีก แต่ก็ยังดีที่ฉันเป็นคนเก็บรักษาภาพนี้เอาไว้ เอารูปภาพมาปะติดปะต่อ พยายามทำให้มันเหมือนเดิมมากที่สุด แต่มันก็ทำได้แค่เท่าที่เห็นนั่นแหล่ะคะ.. ถึงภาพจะเก่าเป็นสิบๆ ปี แต่ความทรงจำที่มีในตัวเราก็ไม่เคยเลือนหายไปกับกาลเวลา.    
ทายกันสิคะว่าเจ้าของบล็อกนี้คนไหนเอ่ย?


เล่าเรื่องจากภาพถ่าย ตอนที่ 1

กว่าจะตัดสินใจเอารูปครอบครัวและรูปของตัวเองลงเผยแพร่ในบล็อกส่วนตัวเนี้ย! ฉันใช้เวลาคิดตั้งนานสองนาน กล้า ๆ กลัว ๆ จะลงดี หรือไม่ลงดี? คิดแล้วคิดอีกอยู่นั่นแหล่ะ(ใช้เวลาคิดมากกว่าเล่าเรื่องซะอีก) เพราะกลัวว่าเพื่อนๆ จะตกใจหนีกันไปซะก่อน ถึงกับไม่กล้ากลับเข้ามาติดตามอ่านเรื่องลาว(ราว)ในบล็อกฉันอีก แต่สุดท้ายด้วยความมุ่งมั่นบวกความตั้งใจจริงของฉันที่อยากจะเล่าเรื่องราวของตัวเองผ่านภาพถ่ายให้เพื่อนๆ ได้ดู ได้อ่านกัน ซึ่งฉันคิดว่า ภาพทุกภาพ ตัวอักษรทุกตัว มันสามารถบ่งบอกถึงความรู้สึกให้กับตัวเราและยังมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าราคาเสียอีก... เพื่อน ๆ พร้อมที่จะหวาดเสียวกับภาพถ่าย เอ๊ะ ๆ ไม่ใช่สิ! พร้อมที่จะชมกันรึยังคะ ถ้าพร้อมแล้วก็....ก็ติดตามกันตอนต่อไปใน...เล่าเรื่องจากภาพถ่าย ตอนที่ 2  กันเลยนะคะ

เฮอา..ตามประสาวัยรุ่น (ตอนต้น)

       ห้วงเวลาของการเป็นวัยรุ่น คือห้วงเวลาของความสุข ความสนุกสนานเฮฮา มีความคิดสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเอง ชอบอิสระ  ฯลฯ หลายคนคงเคยผ่านสิ่งที่เรียกว่าความสุขแห่งช่วงวัยนี้ และยิ้มกับมันทุกครั้งที่คิดถึง..ฉันก็เป็นอีกหนึ่งคนซึ่งเคยผ่านการใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นมาแล้ว ทั้งลองผิด ลองถูก มาก็เยอะ แต่ฉันก็สามารถผ่านช่วงวัยนี้ไปได้(เกือบ)ด้วยดี ฉันเริ่มปรับสภาพเข้ากับอะไรใหม่ๆ ในช่วงก้าวเข้าสู่วัยรุ่น เริ่มรู้จักเพื่อนใหม่ๆ และทำตัวให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ เริ่มที่จะพัฒนาเรียนรู้ตัวเองให้เข้ากับสังคม หันมาสนใจดูแลตัวเองมากขึ้น(ก็เป็นสาวแล้วนิ)  เริ่มใช้เครื่องสำอาง น้ำหอม เสื้อผ้า เครื่องประดับ ฯลฯ (อยู่บ้านนอกไม่เคยได้ใช้เลย นอกจากแป้งฝุ่นธรรมด๊า ธรรมดา)
ฉันก็เป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ชอบ คลั่งไคล้ดารา นักร้อง(ผู้ชาย) กรี๊ด! พี่ไมค์ ภิรมย์พร อุ๊ย! เขียนชื่อผิด ฉันกรี๊ด พี่เจมส์ ต่างหากล่ะย่ะ!  ถึงกับมีรูปดาราติดเต็มห้องนอนเลยก็มี (สมัยโน้นดาราเกาหลียังมาไม่ถึงเมืองไทย) ยังไม่พอคะ วัยรุ่นสมัยนั้นเขาฮิตกันจัง ไอ้เพจลิ้งค์ เนี้ย! ใครไม่มีถือว่าเชยสุดๆ (เดือดร้อนพ่ออีกแหล่ะ) ตามมาติด ๆ ของเล่นสัตว์เลี้ยงไอทีของวัยรุ่น ที่ใคร ๆ เรียกกันว่า “ทามาก็อต” ใครมีไว้ครอบครอง ถือว่าจ๊าบสุด ๆ (“จ๊าบ” เป็นภาษาวัยรุ่น หมายถึง เจ๋งสุด ๆ อะไรประมาณนั้น) อีกตามเคยคะ..พ่อจ๋าซื้อให้หนูหน่อย และยังมีอะไรอีกมากมายหลายอย่างที่ยังกล่าวมาไม่หมด (ที่จริงจำไม่ได้ก็บอกไปเถอะ) แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ฉันต้องไม่ลืมหรือทิ้งมันไปเลยคือ “การเรียนหนังสือ” เพราะยังไงซะ เรื่องเรียนต้องมาที่หนึ่งเสมอสำหรับฉัน (แต่บางทีก็แอบโดดเรียนไปกับเพื่อนก็มี ฮิฮิ) ชีวิตในวัยรุ่น(ตอนต้น)ของฉันไม่ค่อยจะมีอะไรมากนอกเสียจาก..กิน..เล่น..แล้วก็...เรียน...

เด็ก High school

       แหม่...แหม่.. แค่ชื่อก็กินขาด ฟังดูช่าง ไฮโซ ไฮโซ เนอะ ว่าม่ะ? ฉันยังจำได้ดีกับครั้งแรกที่ฉันก้าวเท้าเข้าโรงเรียนใหม่ สายตานับสิบคู่ ต่างมองมาที่ฉัน และแล้วหัวสมองของฉันเริ่มทำงาน มีคำถามขึ้นในใจว่า พวกเขาคงมองฉันด้วยความตกตะลึงในความสวย น่ารัก ของฉันแน่ ๆ แต่เอ๊ะ!! หรือว่าพวกเขาคิดว่า อีตัวประหลาด นี่เป็นใคร? ทำไมออกมาเดินเพ่นพล่าน ในโรงเรียนมีระดับ อย่างนี้ (ระดับไหนง่ะ?) รปภ. ๆ อยู่ไหน มาโยนนังนี่ออกไปที เสียชื่อเสียงโรงเรียนหมด.. (สมองของฉันคิดได้ขนาดนั้นเชียวรึ!!) เฮ้อ..ช่างไม่มั่นใจตัวเองแล้วล่ะสิ แต่เอาว่ะเป็นไงเป็นกันเดินเข้าห้องเรียนเลยดีกว่า คงหาเพื่อนใหม่ได้สักคน...
นี่เธอ โรงเรียนนี้ไม่รับเด็กขัดห้องน้ำหรอกนะจ๊ะ ไปหาที่อื่นดีกว่ามั๊ย? เพื่อนๆ ในห้องเรียนต่างหัวเราะฉันกันหมดทุกคน นี่เป็นคำทักทายประโยคแรกที่ฉันได้ยินจากเพื่อนคนหนึ่ง ทำเอาฉันตั้งตัวแทบไม่ติด (เริ่มสำรวจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า มันเหมือนเด็กขัดห้องน้ำตรงไหน?) ไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ ยิ้มเข้าไว้ เพื่อนๆ คงอยากจะหยอกล้อฉันเล่นเท่านั้นเอง.. (ทุกวันนี้ฉันยังไม่รู้คำตอบว่าอันไหนพูดจริงอันไหนพูดเล่นกันแน่ แต่ก็ขอให้เป็นอันหลังจะดีกว่านะ)

เริ่มต้น...อะไร ๆ ก็ใหม่

              “อะไร ๆ ก็ใหม่” ไปหมดซะทุกอย่างสำหรับฉัน บ้านใหม่..โรงเรียนใหม่..เพื่อนใหม่...และการเริ่มต้นกับสิ่งใหม่ ๆ สำหรับฉัน ยอมรับนะว่าตัวเองก็รู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเจอกับอะไรบ้าง มันคงไม่เหมือนกับตอนที่ฉันอยู่ที่เดิม ที่มีพ่ออยู่ใกล้ ๆ คอยดูแลให้คำปรึกษา แต่ ณ ที่นี้ ตอนนี้ฉันต้องดูแลชีวิตของตัวเองให้ก้าวต่อไปให้ได้ พยายามเรียนรู้ที่จะเริ่มต้น และเกิดข้อผิดพลาดให้น้อยที่สุด (ไม่มีใครที่จะไม่เคยผิดพลาดในชีวิตจริง) เพราะฉันคิดว่าชีวิตคือการเรียนรู้ก็จงเรียนรู้ชีวิตอย่างเข้าใจในแบบตัวเอง (แต่ต้องไม่เดือดร้อนคนอื่น) ดังนั้น  หากเราได้มองเห็นคุณค่าและเรียนรู้ของการเริ่มใช้ชีวิตอย่างแท้จริงแล้วนั้น ก็จะพบว่า ทุก ๆ ช่วงเวลาของเรามันได้เริ่มต้นแล้ว โดยการ...คิดดี..ทำดี..พูดดี..ทุกที่ทุกเวลา..และ..กับทุกคนด้วยนะคะ

You can replace this text by going to "Layout" and then "Page Elements" section. Edit " About "