วันเวลาล่วงเลยผ่านไป
จนฉันเองจำไม่ได้ว่า ได้ลืมคนสำคัญคนๆ หนึ่งไป จนเมื่อเขาได้จากชีวิตโลกนี้ไปแล้ว เมื่อนึกย้อนเวลากลับมาก็รู้เสียใจและเสียดาย
ที่วันนี้ตัวเองยังไม่เคยได้ทำสิ่งดีๆ เพื่อเขาสักครั้ง เพราะมั่วแต่ยุ่งทำอย่างอื่นและให้ความสำคัญกับคนอื่นมากเกินไปจนลืมคนสำคัญที่อยู่ใกล้ๆ
ตัวเรา...
 |
เราจะไม่รู้สึกอะไร
ถ้าเรายังไม่รู้จักกับคำว่า “สูญเสีย” |
“ย่า” จากไปอย่างสงบ
เมื่อฉันอายุได้เพียง 15 ปี ด้วยโรคเบาหวาน และมีภาวะโรคแทรกซ้อนอีกหลายโรค
เป็นที่น่าเศร้าโศกเสียใจแก่ญาติๆ ทุกคนรวมทั้งครอบครัวของฉันด้วย “ย่า” เป็นที่รักของใครหลายๆ
คน โดนเฉพาะกับบ้านใกล้เรือนเคียง ย่าของฉัน แกเป็นคนอัธยาศัยดีและเป็นคนมีน้ำใจ
ชอบช่วยเหลือคนอื่น(โดยเฉพาะเรื่องเงิน) ใครขอให้แกช่วย
ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงแกก็จะช่วยเหลืออย่างเต็มที ย่าจึงกลายเป็นบุคคลที่รักใคร่ของทุกคนในหมู่บ้าน
และฉันเองก็มีความประทับใจในตัวคุณย่าเหมือนกัน คนแกส่วนใหญ่มักจะเป็นคนหัวโบราณ
แต่สำหรับคุณย่าของฉันตรงกันข้าม แกเป็นคนแก่ที่ค่อนข้างหัวสมัยใหม่
ไม่เก่าคร่ำครึจนเกินไป (แม้แกจะชอบเคี้ยวหมากก็เถอะนะ)
แกชอบหาความสนุกสนานบันเทิงให้กับตัวเอง ชอบไปดูหนังในโรง (แกบอกว่าแอร์มันเย็น
หลับเพลินดี) ดูลิเก ฟังเพลง(หมอลำ)ฯลฯแรกๆ ฉันเองก็ติดตามไปกับย่าด้วย แต่หลังๆ
เป็นสาวเต็มตัวแล้วอายหนุ่มๆ ก็เลยไม่ไปซะงั้น...อิอิย่าบอกว่าที่แกมีความคิดแตกต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกันก็เพราะ
ย่าอยากใช้บั้นปลายชีวิตไม้ใกล้ฝังของแก เพื่อหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ
ให้กับตัวเองก่อน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะตายวัน ตายพรุ่งเมื่อไรก็ไม่รู้
ฉะนั้นแล้ว ถ้าสิ่งไหนที่ทำให้ตัวเองมีความสุขแล้วล่ะก็จงรีบทำเสียเถิด
ก่อนที่จะไม่ได้ทำ(แต่สิ่งที่ตัวเองทำต้องไม่เดือดร้อนคนอื่นด้วย)ถึงย่าของฉันจะมีความคิดที่ไม่เหมือนจากคนอื่นๆ
แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่แกปฏิบัติทำอยู่เป็นประจำไม่เคยขาดก็คือ การใส่บาตรตอนเช้า
และเข้าวัดฟังธรรม ถือศีลทุกวันพระและนี้ก็เป็นเรื่องราวชีวิต(ฉบับสั้น)ของคุณย่าสุดที่รักของฉัน.....หลับให้สบายนะคะ!!!
วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554
0 ความคิดเห็น: